ประวัติศาสตร์จีน ฉบับย่อ ตอนที่ 2 : ตำนานการสร้างโลก หนี่ว่าให้กำเนิดมนุษย์ และหนี่ว่าอุดรอยรั่วจากสวรรค์
ตำนานการสร้างโลก
หลังจากที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้แสดงว่ามีมนุษย์อาศัยในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียงมาเป็นระยะเวลานาน นับแต่ยุคหินแล้ว แต่ในทางคติความเชื่อของจีน ได้มีการบอกเล่าถึงตำนานการสร้างโลกและการกำเนิดของมนุษย์ที่แตกต่างไปจากความเชื่อของชนชาติอื่นๆ
จากคัมภีร์ไคเภ็กได้บอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตกาลนับแต่ที่โลกยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้น นานแสนนานมาแล้ว จักรวาลไร้ท้องฟ้าและพื้นดินทุกทิศทุกทางล้วนดูเวิ้งว้างมืดมน ทั่วทั้งจักรวาลเหมือนกับไข่ไก่ใบใหญ่ที่ข้างในมีหนึ่งชีวิตกำลังเติบโต ชีวิตนั้นชื่อว่า ผานกู่
ร่างกายของผานกู่เติบโตขึ้นวันละหนึ่งวา เวลาได้ดำเนินผ่านไปร่วมหนึ่งหมื่นแปดพันปี จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผานกู่ตื่นขึ้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็มองไม่เห็นสิ่งใดเพราะทั่วทุกทิศล้วนแต่มืดมน ผานกู่รู้สึกอึดอัดในความคับแคนนั้นจึงตั้งปณิฐานว่าจะออกไปจากสถานที่คับแคบแห่งนี้ให้ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นผานกู่จึงใช้เรี่ยวแรงขยายทั้งสี่ทิศ พยายามที่จะลุกขึ้นยืนโดยใช้พลังงานที่อันมหาศาลที่ได้สะสมมาโดยตลอดเวลาหมื่นแปดพันปีนี้ ผลักไข่ไก่ใบนี้ให้ขยายออกไป กาลนั้นเกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วทุกทิศทุกทาง เมื่อทำไปได้ระยะหนึ่งแล้วผานกู่พบว่ารอบตัวเขากว้างขวางขึ้นและมีแสงสว่างเพิ่มขึ้น อีกทั้งธาตุต่างๆ ในธรรมชาติเริ่มมีการขยับขยาย จักรวาลเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
อากาศและธาตุต่างๆ ที่เบาเริ่มลอยสูงขึ้น ส่วนพื้นดินหรือธาตุหนังทั้งหลายเริ่มเคลื่อนต่ำลง จนเวลาผ่านไปอีกหลายปี ร่างกายของผานกู่ใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมมาก แต่เขานึกกังวลว่า วนหนึ่งโลกที่เวิ้งว้างว่างเปล่านี้จะกลับมาหลอมรวมกันอีก เขาจึงถอนฟันซี่หนึ่งของตัวเองออกมาและกลายเป็นขวานใหญ่อันหนึ่ง ผานกู่ใช้ขวานผ่าอากาศและธาตุต่างๆ ทั้งหลายให้แยกออกจากกัน จนในที่สุดอากาศยิ่งลองสูงขึ้น พื้นดินก็เริ่มหนักขึ้น อากาศและธาตุหนักถูกผานกู่ผ่าแยกออกจากกัน อย่างที่ไม่มีวันที่จะกลับมาหลอมรวมกันได้อีก
ผานกู่ตั้งชื่อให้กับอากาศที่อยู่ข้างบนที่ไม่อาจจะตกลงมาได้อีกแล้วว่า “ท้องฟ้า” และเรียกวิ่งที่แข็งและหนาที่อยู่ทางด้านล่างว่า “แผ่นดิน” ในที่สุดภารกิจเบิกฟ้าของผานกู่ก็จบสิ้นลง พร้อมกับชีวิตของผานกู่
เมื่อผานกู่ล้มลง ร่างกายที่ใหญ่โตของเขาได้กลายเป็นภาพโครงร่างของแผ่นดินใหญ่ ศรีษะของเขากลายเป็นเขาไท่ซานทางตะวันออก เท้าของเขาได้กลายเป็นเขาหัวซานทางตะวันตก แขนซ้ายกลายเป็นเขาเหิงซานใต้ แขนขวากลายเป็นเขาเหิงซานเหนือ ส่วนลำตัวได้กลายเป็นเขาซงซานทางตอนกลาง
เลือดของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเล แม่น้ำ ลำธาร ที่ไหลไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขนตามร่างกายได้กลายเป็นต้นไม้ใบหญ้า ตาซ้ายของผานกู่กลายเป็นพระอาทิตย์ ตาขวากลายเป็นพระจันทร์ เส้นผมนับแสนล้านเส้นของเขากลายเป็นดาวดวงน้อยที่เปล่งแสงประกายสวยงามในยามค่ำคืน กระดูกและฟันได้กลายเป็นแร่ธาตุและอัญมณีต่างๆ
นอกจากนี้ในระหว่างทำการเบิกฟ้ายังได้เกิดสัตว์วิเศษทั้งสี่ขึ้นมาช่วยภารกิจของผานกู่อีก ได้แก่ เต่าดำ มังกรสีฟ้า นกหงส์แดงและกิเลนเขาเดียว ที่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นแล้วได้แยกย้ายไปตามทิศทั้งสี่และกลายเป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในธรรมชาติอีกด้วย
ตำนานการกำเนิดมนุษย์
หลังจากที่ผานกู่ได้บุกเบิกฟ้าดินแล้วบนโลกได้ปรากฏเทพธิดาองค์หนึ่ง นามว่า หนี่วา เทพธิดาหนี่วามีลักษณะร่างกายที่มีท่องล่างเป็นงู ท่อนบนเป็นมนุษย์ บางตำนานเล่าว่านางได้อยู่กินกับพี่ชายและได้ให้กำเนิดบุตรทั้งหลายจนกลายเป็นมนุษย์ไปทั่วโลก
แต่อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า เมื่อหนี่วาลงมาจากสรวงสวรรค์มาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างมาก ในขณะที่นางเที่ยวอยู่บริเวณแม่น้ำฮวงโห นางได้หยิบดินจากในแม่น้ำนั้นมาปั้นเป็นตุ๊กตาเล็กๆ และน่าแปลกที่ตุ๊กตานั้นมีชีวิตขึ้นมา นางได้เรียกสิ่งนี้ว่า “มนุษย์” ซึ่งมีลักษณะผิวสีเหลืองตามลักษณะของดินในแม่น้ำฮวงโหนั้นเอง
หนี่วาได้พยายามที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา เพื่อที่นางจะได้ไม่เหงาอีกต่อไป อีกทั้งยังปรารถนาให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา หนี่วาได้ใช้ดินปั้นมนุษย์ต่อไปอีกเป็นจำนวนมาก แต่ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและคิดว่าแผ่นดินออกจะกว้างใหญ่จะเติมเต็มได้อย่างไร ขณะนั้นนางได้เหลือบไปเห็นที่ข้างลำธารมีเถาวัลนฺพาดอยู่ นางจึงออกแรงดึงเถาวัลย์นั้นขึ้นออกจากน้ำ เมื่อดึงขึ้นได้ดินที่ติดมากับเถาวัลย์นั้นได้กลายเป็นมนุษย์เล็กๆ ที่ร่าเริง นางได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก และสอนให้มนุษย์สืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปตามการจับคู่เพศชายและหญิง และสอนให้เลี้ยงดูรับผิดชอบชีวิตของรุ่นใหม่ๆ อีกด้วย
หลังจากที่หนี่วาสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว มวลมนุษย์ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผู้ใหญ่ล่าสัตว์ หุงหาอาหาร ส่วนเด็กๆ ก็วิ่งเล่นรายรอบ เติบโตมีชีวิตต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่ง ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆดำ มืดครึ้ม เกิดฟ้าร้อง เกิดฟ้าผ่า เสารที่เคยค้ำโลกไว้กลับล้มลงอย่างไม่คาดฝันทำให้แผ่นดินทั้งเก้าแตกแยกออกจากกัน ไฟอันโหดร้ายลุกโชนอย่างไร้หนทางมอด น้ำไหลท่วมเกิดอุทกภัยร้ายแรง อุกกาบาตนับไม่ถ้วนตกลงมายังพื้นโลกป่าไม้ถูกทำลายอย่างมิอาจจะประเมินได้ น้ำท่วมพัดพามนุษย์จำนวนมาก ผู้คนพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด วุ่นวายไปทั่วทุกหนแห่ง สัตว์ดุร้าย งูพิษต่างๆ ถือโอกาสออกมาทำร้ายผู้คน
หนี่วามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยความโศกเศร้าใจ หนี่วาทนมองมนุษย์ที่เป็นลูกหลานของตนต้องรับเคราะห์กรรมเช่นนั้นไม่ได้ จึงเตรียมที่จะสมานรอยรั่วบนท้องฟ้า
หนี่วาหาเก็บไม้แห้งมาจากทุกแห่งหน มาวางไว้ตรงรอยแยกของท้องฟ้า ไม้แห้งเหล่านั้นได้ถูกวางกองจนสูงเกือบเสมอท้องฟ้า จากนั้นหนี่วาก็หาหินห้าสีมาเตรียมหลอมไว้ซ่อมแซมท้องฟ้า โดยนำหินที่หามาได้มาวางรวมไว้กับกองไม้แห้งและจุดไฟขึ้นเพื่อหลอมหิวพวกนั้น หินห้าสีได้ถูกไฟเผาติดต่อกันตลอด 81 วัน เมื่อหินห้าสีหลอมเรียบร้อยแล้ว หนี่วานำหินสีเหล่านั้นไปสมานรอยแยกบนฟ้าทีละจุดๆ ซึ่งหินนั้นร้อนมากแต่หนี่วาได้อดทนเพราะไม่อยากให้ลูกหลายทั้งหลายได้รับความลำบาก จากนั้นได้ใช้เถ้าถ่ายจากการหลอมหินสีมาถมทับในที่ที่น้ำท่วม จากนั้นน้ำก็เริ่มเหือดแห้ง ท้องฟ้าเริ่มกลับสู่สภาพเดิม
หนี่วากังวลว่าฟ้าจะทรุดลงมาอีก จึงนำขาทั้งสี่ของเต่ายักษ์มาค้ำท้องฟ้าแทนเสาค้ำโลก ในที่สุดท้องฟ้าก็สว่างหมื่นลี้ไร้เมฆบดบัง ทุกอย่างกลับมามีชีวิตชีวา หลังจากมหันตภัยครั้งนั้น ฟ้าดินก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงอีก ต่อมามนุษย์ได้สรรเสริญหนี่วาว่าเป็นมารดาแห่งมนุษยชาติ