เฒ่าจันทรา ... ตำนานด้ายแดงแห่งความรัก
วันวาเลนไทน์เป็นเทศกาลแห่งความรักของชาวคริสต์และเป็นวันระลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ จากตำนานกล่าวไว้ว่า นักบุญวาเลนไทน์เป็นนักบวชศาสนาคริสต์ ในช่วงนั้นการนับถือศาสนาคริสต์ยังเป็นเรื่องต้องห้ามและเป็นช่วงระหว่างสงครามทำให้มีกฎว่าห้ามชายหญิงทำการแต่งงานกันเพราะจะทำให้ขาดกำลังรบ แต่นักบุญวาเลนไทน์ได้แอบทำการสมรสให้กับหนุ่มสาวเหล่านั้น จึงถูกจับและประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ชาวคริสต์จึงถือให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็นวันแห่งความรักที่ชายหญิงจะแสดงออกถึงความรักซึ่งกันและกัน
แต่หากพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับความรักของชาวจีนแล้วคงจะนึกถึง “ตำนานด้ายแดงแห่งความรัก” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงคู่แท้ โดยมีเรื่องเล่าว่า ในสมัยราชวงศ์ถังมีชายคนหนึ่งนามว่า “เหวยกู่” บัณฑิตหนุ่มรูปงามมีฐานะ ได้เดินเที่ยวเล่นในตัวเมืองจนไปพบกับชายแก่คนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือประหลาดอยู่ เหวยกู่จึงเข้าไปพูดคุยเพื่อสอบถามว่าอ่านหนังสืออะไรอยู่ ชายแก่ได้ตอบกลับว่ากำลังอ่านตำราการแต่งงานของชาวโลก เหวยกู่รู้สึกไม่เชื่อคิดว่าเป็นชายแก่เสียสติ
แท้จริงแล้วชายแก่คนนั้นคือ “เฒ่าจันทรา” มีหน้าที่เป็นพ่อสื่อชักนำคนรักให้กับมนุษย์โลก โดยจะเป็นผู้ผูกด้ายแดงไว้ที่นิ้วของชายหญิงที่เป็นเนื้อคู่กัน และเมื่อผูกแล้วหากถึงเวลาจะได้แต่งงานกัน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขวากหนามมากมายเพียงใดก็ตาม ด้ายแดงที่ว่านี้จะล่องหน มีเพียง “เฒ่าจันทรา” เท่านั้นที่เห็น โดยด้ายนี้อาจจะมีการผูกปมเพื่อให้พบรักกันเร็วขึ้นก็เป็นได้ หรือหาก “เฒ่าจันทรา” เห็นว่าความรักนี้ไม่เหมาะสมก็จะใช้ “กรรไกรตัดวาสนา” ตัดด้ายแดงออกทำให้หมดสิทธิ์รักกัน
เหวยกู่รู้สึกสนใจจึงถาม “เฒ่าจันทรา” ไปว่า แล้วคู่ครองของตนเป็นคนอย่างไร เฒ่าจันทราได้พาเหวยกู่ไปหาเนื้อคู่ แต่ทิศทางที่ไปไม่ได้ไปยังชุมชนของคนมีฐานะ หากแต่ไปยังตลาดเก่าแห่งหนึ่ง และเฒ่าจันทราได้ชี้ให้เหวยกู่ดูเด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมมที่เป็นลูกสาวของแม่ค้าในตลาด พร้อมกับบอกว่า “นั่นแหละคือเนื้อคู่ของเจ้า” ก่อนที่จะหายตัวไป
เหวยกู่รู้สึกโมโหมากเมื่อรู้ว่าคู่ครองของตนเป็นเด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมม เมื่อกลับถึงบ้านจึงจ้างให้คนรับใช้ในบ้านไปสังหารเด็กน้อยคนนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีเหวยกู่สอบได้เป็นจอหงวน พร้อมกับเจ้าเมืองได้ยกลูกสาวให้เป็นคู่ครอง ชีวิตกำลังรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก และคิดว่าคำบอกเล่าของเฒ่าจันทราเป็นเรื่องโกหก
หลังจากครองคู่กันได้ระยะหนึ่ง เหวยกู่ก็สังเกตว่าที่หน้าผากของภรรยามีสัญลักษณ์บางอย่างอยู่ จึงถามนางว่าคืออะไร นางได้เล่าให้ฟังว่า แท้จริงแล้วนางไม่ได้เป็นลูกสาวของเจ้าเมือง หากแต่เป็นลูกของแม่ค้าจนๆ ในวัยเด็กมีชายคนหนึ่งใช้มีดกรีดหน้าของตนแล้วจากไป และเจ้าเมืองผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงรับอุปการะตนเป็นลูกสาว เมื่อฟังจบเหวยกู่ได้ตามคนรับใช้ที่จ้างให้ไปสังหารมา คนรับใช้ได้สารภาพว่า เขาไม่อาจทำใจสังหารเด็กน้อยคนนั้นได้ จึงเพียงใช้มีดกรีดหน้าเป็นสัญลักษณ์ไว้เท่านั้น
เมื่อเหวยกู่ทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ทำให้เขารู้ว่าที่เฒ่าจันทราบอกไว้เป็นความจริง จึงทำการขอขมาภรรยาและแม่ของนาง ก่อนที่จะครองรักกันไปอย่างมีความสุข
ส่วนรูปลักษณ์ของเฒ่าจันทรานั้นเป็นชายแก่ผมยาวสีขาว ไว้หนวดเครายาวสีขาวเหมือนเส้นผม ชอบนั่งอยู่บนก้อนหิน มือหนึ่งถือด้ายแดง อีกมือหนึ่งถือไม้เท้าที่แขวนตำราคู่ครอง สะพายย่ามที่ข้างในบรรจุด้ายแดงไว้ หากใครที่ยังไม่พบเนื้อคู่ ก็ขอให้ด้ายแดงนำพาคู่ครองมาเจอในเร็ววันนะครับ